วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

บทที่6 การประยุกต์ใช้โปรแกรมคำนวณทางธุรกิจด้วยโปรแกรม Microsoft Excel

1.ความรู้เบื่องต้นในการใช้โปรแกรม Microsoft excel

   โปรแกรม Excel เป็นโปรแกรมที่อำนวยความสะดวกในการทำงานเกี่ยวกับการพิมพ์ งานตาราง การคำนวณข้อมูล และฐานข้อมูล   Excel 2007 มีส่วนติดต่อผู้ใช้โฉมใหม่ มีแม่แบบใหม่ แถบเครื่องมือต่าง ๆ และมีคุณลักษณะใหม่ที่สามารถสร้างประสิทธิผลงานได้อย่างรวดเร็ว Excel 2007 ทำให้เราสามารถเริ่มใช้งานส่วนติดต่อผู้ใช้โฉมใหม่ แม่แบบใหม่ และ คุณลักษณะใหม่ที่สามารถสร้างประสิทธิผลได้อย่างรวดเร็ว

1.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโปรแกรมตารางงาน (Microsoft Excel

   1.1.1 ลักษณะทั่วไปของโปรแกรม Excel 
   โปรแกรมตารางงาน หรือโปรแกรมสเปรดชีต (Spread Sheet) หรือตารางคำนวณ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นโปรแกรมที่อำนวยความสะดวกในการทำงานเกี่ยวกับการคำนวณข้อมูล แสดง ข้อมูลในลักษณะเป็นคอลัมน์ หรือเป็นช่องตาราง ซึ่งเราสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ โดยส่วนมาก มักจะเป็นตัวเลขลงในตารางสี่เหลี่ยมที่แบ่งออกเป็นช่องเล็ก ๆ มากมาย เรียกว่า เซลล์ (Cell) พร้อม ทั้งสามารถใส่สูตรลงในเซลล์บางเซลล์เพื่อให้โปรแกรมทำการคำนวณหาผลลัพธ์จากข้อมูลที่ 
โปรแกรม Excel ช่วยให้เราคำนวณตัวเลขในตารางได้ง่าย ๆ ตั้งแต่คณิตศาสตร์ขั้น พื้นฐานไปจนถึงสูตรทางการเงินที่ซับซ้อน และเรายังสามารถใช้ Excel ในการจัดกลุ่มข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สร้างรายงาน และสร้างแผนภูมิได้อีกด้วย 
โปรแกรม Excel มีประโยชน์กับผู้คนแทบทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบัญชี ซึ่ง สามารถนำ Excel มาช่วยคำนวณรายรับรายจ่ายและงบการเงินได้ นักวิเคราะห์การตลาด ที่จะนำ Excel มาช่วยในการสรุปข้อมูลแบบสอบถามจำนวนมาก ๆ วิศวกรที่สามารถนำข้อมูลจากการ ทดลองมาให้ Excel สร้างเป็นแผนภูมิลงในรายงานของตนเองได้ง่าย ๆ นักวางแผนสามารถทดลอง ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรถ้าตัวแปรบางตัวเปลี่ยนไป แม้กระทั่งครูอาจารย์ก็ยังสามารถคำนวณ เกรดของนักศึกษาได้ด้วย และนอกจากที่กล่าวแล้ว Excel ก็ยังสามารถประยุกต์ใช้กับงานอื่น ๆ ได้ อีกมากมาย

   1.1.2 คุณสมบัติของโปรแกรม Excel
   โปรแกรม Excel มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
        1.สร้างและแสดงรายงานของข้อมูล ตัวอักษร และตัวเลข โดยมีความสามารถในการ 
จัดรูปแบบให้สวยงามน่าอ่าน เช่น การกำหนดสีพื้น การใส่แรเงา การกำหนดลักษณะและสีของ 
เส้นตาราง การจัดวางตำแหน่งของตัวอักษร การกำหนดรูปแบบและสีตัวอักษร เป็นต้น 
        2.อำนวยความสะดวกในด้านการคำนวณต่าง ๆ เช่น การบวก ลบ คูณ หารตัวเลข 
และยังมีฟังก์ชั่นที่ใช้ในการคำนวณอีกมากมาย เข่น การหาผลรวมของตัวเลขจำนวนมาก การหา ค่าทางสถิติและการเงิน การหาผลลัพธ์ของโจทย์ทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น 
       3.สร้างแผนภูมิ (Chart) ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแสดงและการเปรียบเทียบข้อมูลได้หลายรูปแบบ เช่น แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart หรือBar Chart) แผนภูมิเส้น (Line
Chart) แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) ฯลฯ
       4.มีระบบขอความช่วยเหลือ (Help) ที่จะคอยช่วยให้คำแนะนำ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ
ทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น หากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรม หรือสงสัย 
เกี่ยวกับวิธีการใช้งาน แทนที่จะต้องเปิดหาในหนังสือคู่มือการใช้งานของโปรแกรม ก็สามารถขอ ความช่วยเหลือจากโปรแกรมได้ทันที 
        5.มีความสามารถในการค้นหาและแทนที่ข้อมูล โดยโปรแกรมจะต้องมี ความสามารถในการค้นหาและแทนที่ข้อมูล เพื่อทำการแก้ไขหรือทำการแทนที่ข้อมูลได้สะดวก 
และรวดเร็ว 
        6. มีความสามารถในการจัดเรียงลำดับข้อมูล โดยเรียงแบบตามลำดับ จาก A ไป Z หรือจาก 1 ไป 100 และเรียงย้อนกลับจาก Z ไปหา A หรือจาก 100 ไปหา 1 
        7. มีความสามารถในการจัดการข้อมูลและฐานข้อมูล ซึ่งเป็นกลุ่มของข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันในตารางที่อยู่ใน Worksheet ลักษณะของการเก็บข้อมูลเพื่อใช้เป็น ฐานข้อมูลมนโปรแกรมตารางงานจะเก็บข้อมูลในรูปแบบของตาราง โดยแต่ละแถวของรายการจะ เป็นระเบียนหรือเรคอร์ด (Record) และคอลัมน์จะเป็นฟิลด์ (Field)


2.ส่วนประกอบของหน้าจอโปรแกรม Microsoft Excel

หน้าต่างของโปรแกรม Microsoft Excel  นั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่หลายส่วนด้วยกัน ดังนี้

 

ส่วนประกอบของโปรแกรม

1. แถบชื่อเรื่อง (Title Bar) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงชื่อโปรแกรม และรายชื่อไฟล์ที่ได้เปิดใช้งาน

2. แถบเครื่องมือด่วน (Quick Access) = เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงคำสั่งที่ใช้งานบ่อย

3. ปุ่ม แฟ้ม (File) = เป็นส่วนที่ใช้ในการจัดเก็บคำสั่งการทำงานในโปรแกรม เช่น New Open, Save และคำสั่ง Print เป็นต้น

4. ปุ่มควบคุม = เป็นส่วนที่ใช้ควบคุมการเปิด หรือปิดหน้าต่างโปรแกรม

5. ริบบอน (Ribbon) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงรายการคำสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงานกับเอกสาร

6. พื้นที่การทำงาน = เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ขั้นภายในเอกสาร

7. แถบสถานะ (Status Bar) = เป็นส่วนที่ใช้แสดงจำนวนหน้ากระดาษ และจำนวนตัวอักษรที่ใช้ในเอกสาร

8. Name Box = เป็นช่องที่ใช้แสดงชื่อเซล์ที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น เช่น ถ้ามีการใช้งานข้อมูลในเซลล์ A1 รายชื่อเซลล์นี้ก็จะไปแสดงอยู่ในช่อง Name Box

9. แถบสูตร (Formula Bar) = เป็นช่องที่ใช้แสดงการใช้งานสูตรการคำนวณต่าง ๆ

10. เซลล์ (Cell) = เป็นช่องตารางที่ใช้สำหรับบรรจุข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งช่องเซลล์แต่ละช่องนั้นจะมีชื่อเรียกตามตำแหน่งแถว และคอลัมน์ที่แสดงตำแหน่งของเซลล์ เช่น เซลล์ B1 จะอยู่ใน คอลัมน์ B ในแถวที่ 1 เป็นต้น

11. คอลัมน์ (Column) = เป็นช่องเซลล์ที่เรียงกันในแนวตั้งของแผ่นงาน (Worksheet)

12. แถว (Row) = เป็นช่องเซลล์ที่เรียงกันในแนวนอนของแผ่นงาน

13. Sheet Tab = เป็นแถบที่ใช้แสดงจำนวนแผ่นงานที่เปิดขึ้นมาใช้งาน

3 การกำหนดขอบเขตของข้อมูล

  เอกสาร Excel เรียกว่าเวิร์กบุ๊ก แต่ละเวิร์กบุ๊กจะมีเวิร์กชีต ซึ่งโดยปกติจะเรียกว่าสเปรดชีต คุณสามารถเพิ่มเวิร์กชีตลงในเวิร์กบุ๊กได้มากเท่าที่คุณต้องการ หรือคุณสามารถสร้างเวิร์กบุ๊กใหม่เพื่อเก็บข้อมูลของคุณแยกต่างหากก็ได้

   1.คลิก ไฟล์ > ใหม่

   2.ภายใต้ ใหม่ ให้คลิกที่ เวิร์กบุ๊กเปล่า




   3.คลิกตรงเซลล์ที่ว่าง ตัวอย่างเช่น เซลล์ A1 บนเวิร์กชีตใหม่เซลล์ถูกอ้างอิงโดยตำแหน่งที่ตั้งของเซลล์ในแถวและคอลัมน์บนเวิร์กชีต ดังนั้นเซลล์ A1 จะอยู่ในแถวแรกของคอลัมน์ A

พิมพ์ข้อความหรือตัวเลขลงในเซลล์

   4.กด Enter หรือ Tab เพื่อย้ายไปยังเซลล์ถัดไป


4.การใช้สูตรและฟังก์ชันในการคำนวณ
   โปรแกรมตารางคำนวณ (Microsoft Office Excel 2013) มีความสามารถในการวิเคราะห์ประมวลผล คำนวณค่าต่างๆมากมาย โดยการนำ ค่าคงที่ ตัวเลข ตัวแปร หรือการอ้างอิงเซลล์ที่อยู่ในเซลล์ข้อมูล นำมาคำนวณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการโดยใช้สูตรคำนวณ ใช้ตัวดำเนินการ หรือ เครื่องหมายคำนวณในรูปแบบต่างๆ เช่น บวก ลบ คูณ หาร

โครงสร้าง สัญลักษณ์ และลำดับความสำคัญของเครื่องหมายที่ใช้การคำนวณ
1.    โครงสร้าง
      การใช้สูตรคำนวณจะต้องพิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) นำหน้าเสมอตามด้วยตัวแปร และตัวดำเนินการ ตัวแปรนี้อาจเป็นค่าคงที่ ตำแหน่งเซลล์ หรือฟังก์ชันก็ได้ โดยผลลัพธ์จะอยู่บนเซลล์ใดเซลล์ใดเซลล์หนึ่งที่เลือกไว้ ยกตัวอย่างเช่น =A1+B1, =C2-D3, =(D3/C2)*(  A1+B1), =(G3-B1)-(F4*G4), =2*3 เป็นต้น

2.สัญลักษณ์
      สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นเครื่องหมายในการคำนวณมีดังนี้


3.ลำดับความสำคัญของเครื่องหมายในการคำนวณ
      การคำนวณนั้นจะมีลำดับความสำคัญของเครื่องหมายการคำนวณต่างกัน ซึ่งโปรแกรมจะคำนวณจากลำดับความสำคัญแรกไปยังลำดับความสำคัญรองลงมาตาม
ลำดับ แต่ถ้าเครื่องหมายคำนวณอยู่ในระดับเดียวกัน โปรแกรมจะคำนวณจากซ้ายไปขวา
   


ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
      การคำนวณด้วยสูตรหรือคำนวณด้วยฟังก์ชัน อาจมีข้อผิดพลาดได้ เมื่อมีการทำงานเกี่ยวกับสูตรหรือฟังก์ชันการคำนวณของโปรแกรมอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง โปรแกรมจะแสดงข้อความบอกข้อผิดพลาดปรากฏอยู่ในเซลล์ ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

การสร้างสูตรคำนวณ
      ในการสร้างสูตรคำนวณสามารถป้อนสูตรคำนวณได้โดยใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) นำหน้าเสมอถ้าไม่ใส่เครื่องหมายเท่ากับโปรแกรมจะเข้าใจว่าเป็นข้อความ การคำนวณโปรแกรมสามารถคำนวณได้หลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น
   1.การคำนวณค่าคงที่
        1.คลิกเลือกเซลล์ที่ใส่สูตร
        2.พิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) ตามด้วยค่าคงที่ โดยพิมพ์ลงในเซลล์หรือแถบสูตรก็ได้
        3.กด Enter
   2.การคำนวณอ้างอิงตำแหน่งเซลล์การคำนวณอ้างอิงตำแหน่งเซลล์ สามารถพิมพ์หรือใช้เมาส์สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
        1.คลิกเลือกเซลล์ที่จะใส่สูตร
        2.พิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) ตามด้วยตำแหน่งเซลล์โดยพิมพ์ลงในเซลล์
        3.กด Enter
   3.  การคำนวณอ้างอิงตำแหน่งเซลล์โดยใช้เมาส์
        1.คลิกเลือกเซลล์ที่จะใส่สูตรพิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=)
        2.ใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์แรกที่ต้องการคำนวณ
        3.พิมพ์เครื่องหมายการคำนวณ ตามที่ต้องการ
        4.ใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์ที่สองแล้วกด Enter

การแก้ไขสูตร
      สูตรคำนวณที่พิมพ์ไปแล้วถ้ามีข้อผิดพลาดเราสามารถแก้ไขได้ 3 วิธีสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
   1.    แก้ไขแถบสูตร
        1.  ใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์สูตรที่ต้องการแก้ไข
        2.  ใช้เมาส์คลิกแถบสูตรแล้วทำการแก้ไขสูตรให้ถูกต้อง
   2.  ใช้ฟังก์ชันF2ใช้เมาส์คลิกเลือกเซลล์สูตรที่ต้องการแก้ไขกดฟังก์ชัน F2 ทำการแก้ไขสูตรในเซลล์ให้ถูกต้อง
   3.  ดับเบิลคลิกในเซลล์สูตรใช้เมาส์ดับเบิลคลิกเซลล์สูตรที่ต้องการแก้ไข แล้วทำการแก้ไขสูตรในเซลล์ให้ถูกต้อง

การคัดลอกสูตร
      การคัดลอกสูตรการคำนวณโดยอ้างอิงตำแหน่งเซลล์มีข้อดีคือ มีความรวดเร็ว มีความถูกต้องของข้อมูล และที่สำคัญสามารถคัดลอกสูตรคำนวณที่มีลักษณะหรือรูปแบบเดียวกัน ไม่ต้องเสียเวลาในการพิมพ์สูตรใหม่ให้เสียเวลา ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ 3 วิธีดังนี้
   1.ใช้เมาส์
        1.ใช้เมาส์คลิกเซลล์สูตรต้นฉบับ เลื่อนเมาส์ไปตำแหน่งมุมด้านขวาล่างให้สัญลักษณ์เมาส์แสดงกากบาทสีดำ
        2.กดปุ่มเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้ลากไปตำแหน่งที่ต้องการ แล้วปล่อยเมาส์
   2.  ใช้แป้นพิมพ์
        1.ใช้เมาส์คลุมดำเซลล์สูตรต้นฉบับและเซลล์ที่ต้องการคัดลอกสูตร
        2.กดฟังก์ชัน
        3.กด Ctrl+Enter
   3.  ใช้คำสั่งคัดลอก
        1.ใช้เมาส์คลุมดำเซลล์สูตรต้นฉบับ
        2.เลือกคัดลอก

        3.คลุมดำเซลล์ที่ต้องการคัดลอก
        4. เลือกวาง
        5. ผลลัพธ์

         


การอ้างอิงตำแหน่งเซลล์
      การอ้างอิงตำแหน่งเซลล์เพื่อใช้ในการคำนวณมีรูปแบบการอ้างอิง 3 รูปแบบดังนี้
   1. การอ้างอิงเซลล์แบบสัมพัทธ์ (Relative Reference) เมื่อเซลล์ถูกคัดลอกไปตำแหน่งเซลล์อื่นตำแหน่งเซลล์จะถูกเปลี่ยนตามโดยอัตโนมัติ เช่น เซลล์ E2 ใส่สูตร =C2*D2 เมื่อคัดลอกสูตรไปตำแหน่ง E3 สูตรจะเปลี่ยนเป็น =C3*D3 ให้โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น

   2.การอ้างอิงเซลล์แบบสมบูรณ์ (Absolute Reference) เป็นการการกำหนดค่าของตำแหน่งเซลล์ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลง เช่น $D$2 หมายถึง เซลล์ D2 จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะคัดลอกสูตรไปเซลล์ใดก็ตาม จะมีค่าเหมือนเดิม ถ้าต้องการใส่เครื่องหมาย $ ให้อัตโนมัติให้คลุมดำดำแล้วกด F4 ยกตัวอย่างเช่น




   3.การอ้างอิงเซลล์แบบผสม (Mixed Reference) เป็นการผสมระหว่างการอ้างอิงแบบสัมพัทธ์และแบบสมบูรณ์ จะใช้ในกรณีที่ต้องการให้ตำแหน่งเซลล์เปลี่ยนบ้างหรือคงที่บ้าง เช่น F$2 หมายถึง F จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการคัดลอกสูตรไปคอลัมน์อื่น แต่ 2 จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามหมายเลขบรรทัดของแถวที่ถูกคัดลอก

การคำนวณอ้างอิงตำแหน่งเซลล์ข้ามแผ่นงาน
      การคำนวณข้ามแผ่นงานเป็นการอ้างอิงเซลล์ที่อยู่คนละแผ่นงาน มีรูปแบบการคำนวณดังนี้ “=ชื่อของแผ่นงานตามด้วยเครื่องหมาย !ชื่อเซลล์ที่อ้างอิงถึง” เช่น Sheet1!A5+Sheet2!A6ในการสร้างสูตรคำนวณสามารถใช้เมาส์เลือกตำแหน่งเซลล์หรือใช้คีย์บอร์ดพิมพ์สูตรยกตัวอย่างดังนี้
      การหาผลรวมของยอดขายประจำเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมซึ่งข้อมูลอยู่คนละแผ่นงาน สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
  1.สร้างตารางข้อมูลเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม ให้อยู่คนละแผ่นงาน
  2.ใช้เมาส์คลิกเซลล์ที่ต้องการคำนวณพิมพ์สูตรดังนี้
=มกราคม!E10+กุมภาพันธ์!E10+มีนาคม!E8

ส่วนประกอบของฟังก์ชัน
      การใช้ฟังก์ชัน (Function) คำนวณค่าต่างๆ เป็นการคำนวณที่มีความสะดวกรวดเร็วเพียงแค่ พิมพ์ฟังก์ชันและใส่ค่า อาร์กิวเมนต์ (Argument) ก็สามารถคำนวณได้แล้วโปรแกรมตารางคำนวณ (Microsoft Office Excel 2013) มีฟังก์ชันให้ใช้งานมากมาย แต่ละฟังก์ชันใช้งานแตกต่างฟังก์ชันมีส่วนประกอบดังนี้=ชื่อฟังก์ชัน(ค่า Argument1, ค่า Argument2, ค่า Argument) เช่น =SUM(A1+D2), =MAX(B2:B9), =AVERAGE(D4:F6) เป็นต้น

ประเภทของฟังก์ชัน
   1.ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
   2.ฟังก์ชันทางตรรกะศาสตร์
   3.ฟังก์ชันที่เกี่ยวกับวันที่
   4.ฟังก์ชันที่เกี่ยวกับเวลา
   5.ฟังก์ชันที่เกี่ยวกับการเงิน
   6.ฟังก์ชันที่เกี่ยวกับตัวอักษร
   7.ฟังก์ชันทางสถิติ
   8.ฟังก์ชันในการค้นหาข้อมูล
   9. ฟังก์ชันทางด้านวิศวกรรม
   10.ฟังก์ชันในการจัดการฐานข้อมูล

การสร้างฟังก์ชันคำนวณ
   1.พิมพ์ฟังก์ชันลงในเซลล์หรือพิมพ์บนแถบสูตร
      การพิมพ์ฟังก์ชันลงในเซลล์หรือพิมพ์บนแถบสูตรสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
      ใช้เมาส์เลือกเซลล์ที่จะสร้างฟังก์ชันคำนวณแล้วพิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) พิมพ์ฟังก์ชันตามที่ต้องการ แล้วกด Enter
   2.เลือกจากฟังก์ชันไลบรารี (Function Library)
      การเลือกจากฟังก์ชันไลบรารี สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวก ซึ่งอยู่ใน ริบบอน แท็บสูตร โดยฟังก์ชันไลบรารีจะแยกฟังก์ชันออกเป็นประเภทต่างๆ มากมายหลายฟังก์ชันสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
        1.ใช้เมาส์เลือกเซลล์ที่จะสร้างฟังก์ชันคำนวณ
        2.เลือกแท็บสูตร
        3.เลือกจากฟังก์ชันไลบรารีที่ต้องการ
        4.เลือกประเภท
        5.เลือกฟังก์ชันที่ต้องการ
        6.ตกลง
        7.ระบุเซลล์ที่ต้องการหาผลรวม
        8.ตกลง
   3.เลือกฟังก์ชันจาก Name Box ปกติแล้ว Name Box จะเป็นเครื่องมือบอกตำแหน่งเซลล์หรือชื่อเซลล์ แต่ถ้าพิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) ลงบนเซลล์ Name Box จะแสดงรายชื่อของฟังก์ชันขึ้นมาให้เลือกสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
        1.       ใช้เมาส์เลือกเซลล์ที่จะสร้างฟังก์ชันการคำนวณแล้วพิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=)
        2.       เลือกฟังก์ชันจาก Name Box

ฟังก์ชันที่ใช้ในการคำนวณ
   1.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน SUM
=SUM(Number1,Number2,…) ทำหน้าที่ หาผลรวมของจำนวน Number
   2.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน MAX
=MAX(Number1,Number2,…) ทำหน้าที่ หาค่าสูงสุดของจำนวน Number
   3. การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน MIN
=MIN(Number1,Number2,…) ทำหน้าที่ หาค่าต่ำสุดของจำนวน Number
   4.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน AVERAGE
=AVERAGE(Number1,Number2,…) ทำหน้าที่ หาค่าเฉลี่ยของจำนวน Number
   5.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน COUNT
=COUNT(Value1,Value2,…) ทำหน้าที่ นับข้อมูลเฉพาะตัวเลข
   6.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน COUNTA
 =COUNTA(Value1,Value2,…) ทำหน้าที่ นับข้อมูลทั้งตัวเลขข้อความและสัญลักษณ์ที่อยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ Value
   7.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน STDEV
=STDEV(Number1,Number2,…) ทำหน้าที่ หาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน Number
   8.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน ROUND
=ROUND(Number,Num_digits) ทำหน้าที่ ปัดค่าตัวเลข Number เป็นตัวเลข Num digits เป็นจำนวนหลักทศนิยมเท่ากับที่ระบุไว้
   9.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน DATE
=DATE(Year,Month,Day) ทำหน้าที่ แปลงตัวเลขวัน เดือน ปี ให้เป็นวันที่ Year= ใส่ค่าปี ค.ศ.Month=ใส่ค่าเดือน Day= ใส่ค่าวันที่
   10.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน NOW
=NOW() ทำหน้าที่ แสดงวันที่และเวลาปัจจุบันของระบบ
   11.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน TODAY
=TODAY() ทำหน้าที่ แสดงวันที่ปัจจุบันของระบบ
   12.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน HOUR
 =HOUR() ทำหน้าที่ แปลงข้อมูลเกี่ยวกับเวลา โดยแสดงผลลัพธ์เป็นเลขจำนวนเต็มมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 23 เป็นค่าชั่วโมงใน 1 วัน
   13.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน NETWORKDAYS
=NETWORKDAYS(start_date,end_date,holidays) ทำหน้าที่ คำนวณหาจำนวนวันทำงานทั้งหมดระหว่างวันที่สองค่าคือวันที่เริ่มต้นถึงวันที่สิ้นสุด ไม่รวมวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ
   14.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน VLOOKUP
 =VLOOKUP(Lookup_Value,Table_array,Col_index_num,Range_lookup) ทำหน้าที่ ค้นหาและแสดงข้อมูล
   15.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน IF
=IF(Logical,Value_if_true,Value_if_false) ทำหน้าที่ ตรวจสอบเงื่อนไขหาค่าจริงหรือเท็จแล้วตัดสินใจในการประมวลผล
   16.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน IF ซ้อน IF    =IF(Logical,Value_if_ture,IF(Logical,Value_if_ture,IF(Logical,Value_if_ture,Value_if_false))) ทำหน้าที่ ตรวจสอบเงื่อนไขในกรณีที่มีหลายเงื่อนไขและหาค่าจริง
   17.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน SUMIF
 =SUMIF(Range,Criteria,Sum_range) ทำหน้าที่ หาผลรวมแบบมีเงื่อนไข
   18.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน COUNTIF
=COUNTIF(Range,Criteria) ทำหน้าที่ นับจำนวนแบบมีเงื่อนไข
   19.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน BATHTEXT
 =BATHTEXT(Number) ทำหน้าที่ แปลงตัวเลขให้เป็นตัวอักษร
   20.การคำนวณโดยใช้ฟังก์ชัน PMT
=PMT(rate,nper,pv,fv,type) ทำหน้าที่ คำนวณหายอดการชำระเงินสำหรับเงินกู้ (Payment) หรือผ่อนชำระต่องวดจากการกู้ยืม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทที่12 การแก้ไข ตกแต่ง และการฉายสไลด์จากโปรแกรมการนำเสนอผลงาน

1 การแก้ไขและลบรูปแบบสไลด์   1. เปิด Microsoft PowerPointที่ใช้งานอยู่ จากนั้นคลิกที่แท็ป View แล้วคลิก Slide Master   2. จากนั้นจะสังเกตุ...